ความอดทนต่ำ ความเหวี่ยงสูง

๒๐ พ.ค. ๒๕๖๕ | การดู ๑๗๒๙ ครั้ง

image widget

คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่าที่โมโหง่ายกับเรื่องเล็กน้อย หงุดหงิดเมื่อต้องต่อคิวยาวหรือรถติดไฟแดงนาน หรือต้องเช็คการอัพเดททางสื่อโซเชียลตลอดเวลา พฤติกรรมเร่งรีบอารมณ์ร้อนรนเช่นนี้ เรียกว่า “ภาวะทนรอไม่ได้” หรือ Hurry Sickness ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายกับคนยุคดิจิทัลที่เสพติดการใช้อินเทอร์เน็ตที่อำนวยความสะดวกให้ทุกอย่างในชีวิตรวดเร็วทันใจและเปิดอุปกรณ์สื่อสารไว้ตลอดเวลา แม้จะไม่จัดว่าเป็นอาการป่วยหรือโรค แต่หากปล่อยไว้นาน ๆ อาการอาจรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้


“ภาวะทนรอไม่ได้” หรือ Hurry Sickness เป็นภาวะเชิงพฤติกรรมและอารมณ์ที่แสดงออกมาผ่านความร้อนรน ความไม่พอใจ ความเครียดและความกังวลเกินกว่าเหตุ นพ.เมเยอร์ ฟรีดแมน และนพ.เรย์ โรเซนแมน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจเป็นผู้บัญญัติศัพท์เพื่อเรียกกลุ่มอาการเช่นนี้ว่า “ภาวะทนรอไม่ได้” หลังจากสังเกตเห็นว่า ผู้ป่วยจำนวนมากในการศึกษามีพฤติกรรมรีบร้อนทำงานหรือกิจกรรมหลายอย่างให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัดตลอดเวลา ศ.ริชาร์ด จอลลี่ (Richard Jolly) แห่งลอนดอน บิสซิเนส สคูล พบว่าพนักงานระดับผู้จัดการถึงร้อยละ ๙๕ ต้องทนทุกข์ทรมานจากภาวะทนรอไม่ได้

นอกจากนั้น อาการของภาวะนี้ยังทับซ้อนกับอาการของความ “กลัวพลาดอะไรบางอย่าง” หรือ Fear of Missing Out (FOMO) ที่พบมากในยุคปัจจุบัน พฤติกรรมเหล่านี้สามารถสะสมจนกลายเป็นความเคยชินและกัดกร่อนสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัวและอาจส่งผลรุนแรงกว่าที่คิด อาทิ ทำให้ประสิทธิภาพในการพินิจวิเคราะห์ปัญหาลดลง โดยเฉพาะปัญหาในภาพรวมใหญ่ของงาน ขณะเดียวกันอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในงานเพิ่มขึ้น หรืออาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวจากการที่เราแบกงานไปทุกที่หรืออารมณ์เสียง่ายเพราะมีเรื่องรบกวนจิตใจมากเกินไป แม้อาการจะไม่ค่อยน่าวิตกแต่หากปล่อยให้ความกังวลเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีเรื่องไม่ทันใจหรือสะสมความเครียดมาเรื่อย ๆ เป็นเวลานานก็สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ไม่น้อย เช่นหายใจไม่ทัน คลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ภูมิต้านทานต่ำลง อาจมีปัญหาความดันโลหิตสูงและมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจตามมา เนื่องจากความเครียดจะกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว เช่นภาวะซึมเศร้า ภาวะหมดไฟ ต่อมหมวกไตล้า บางรายอาจถึงแก่ชีวิตได้

image widget

เพื่อบรรเทาอาการของภาวะทนรอไม่ได้และป้องกันไม่ให้อาการเลวร้ายจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพจุดนั้น เราควรปรับพฤติกรรมตามคำแนะนำต่อไปนี้

พิจารณาขีดความสามารถของตนเองในการทำงานให้สำเร็จ อย่าด่วนตอบรับงานที่มีกำหนดส่งกระชั้นชิด รู้จักปฏิเสธคำขอให้ช่วยอย่างสุภาพโดยเฉพาะงานที่อยู่นอกเหนือหน้าที่ ขณะเดียวกันอาจช่วยหาคนอื่นมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าที่จะทำงานนั้น ๆ หรืองานที่เราไม่มีเวลาทำ

อย่าทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เพราะงานที่ได้อาจไม่มีคุณภาพตามที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นเพราะคุณจะทำงานไม่สุดความสามารถหรือทำไม่เสร็จสักอย่าง ควรทำงานทีละอย่าง สะสางทีละเรื่อง แล้วจะพบว่าทำงานได้ดีขึ้นและกระวนกระวายใจน้อยลง

บริหารเวลาของคุณ การจัดการเวลาที่ดีช่วยให้คุณทำงานให้เสร็จลุล่วงโดยใช้เวลาน้อยลง หัดจัดลำดับความสำคัญของงาน ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการเอาตัวรอดในช่วงเวลากดดัน เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่ากิจกรรม ให้ความสนใจกับประสิทธิภาพมากกว่าความเร่งรีบ

ปรับวิธีการทำงาน การทำงานหักโหมแบบม้วนเดียวจบจนหาช่องว่างให้ตนเองพักไม่ได้ไม่เกิดผลดีต่อทั้งตัวคุณและงานของคุณ ในเวลาพักก็ควรจะพักเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง พยายามทำงานให้เสร็จตามเป้าหมายในเวลางาน หากเลือกได้ จัดช่วงเวลาทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดความเครียดเข้าไว้ด้วยกัน แล้วเมื่อถึงเวลางานหนัก คุณก็จะไม่ล้าเกินไป

คิดบวก เมื่อคุณมีภาระมากเกินไปและเร่งรีบ ความคิดเชิงลบจะครอบงำคุณง่าย การทำงานด้วยทัศนคติเชิงบวกสามารถช่วยให้คุณพร้อมรับมือความท้าทายที่เผชิญอยู่ได้ง่ายกว่า ฝึกจัดการความโกรธและฝึกความอดทน หากเราสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น เราก็จะจัดการกับงานได้อย่างสงบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หากอาการของ “ภาวะทนรอไม่ได้” หรือความเครียดไม่ลดลง ควรปรึกษาแพทย์และที่สำคัญต้องควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนการเปลี่ยนแปลงอาหารหรือระดับการออกกำลังกาย


อ้างอิง

https://www.mindtools.com/pages/article/how-to-beat-hurry-sickness.htm

https://www.huffpost.com/entry/signs-of-hurry-sickness-how-to-deal_l_6081d78de4b0dff254039874