สังหารหมู่... เลือดเย็นหรือโรคจิต

๒๒ พ.ย. ๒๕๖๕ | การดู ๑๔๘๓ ครั้ง

image widget

เชื่อหรือไม่ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มีความคิดที่จะก่อฆาตกรรมแวบเข้ามาในสมองโดยธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่ก่อเหตุสังหารหมู่ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก การเป็น Psychopath หรือ “โรคจิต” กลับเป็นสมมุติฐานแรกของแรงจูงใจในการก่อเหตุ แต่การประเมินทางจิตเวชในหลาย ๆ คดีพบว่าฆาตกรไม่ได้มีความผิดปกติทางจิตทุกราย การศึกษาและทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงจึงเป็นวิธีช่วยป้องกันเหตุการณ์สะเทือนขวัญและเศร้าสลดได้


ดร.ไมเคิล เวลเนอร์ จิตแพทย์นิติเวชแห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU School of Medicine) อธิบายว่า แรงจูงใจในการก่อเหตุฆาตกรรมของผู้ป่วยโรคจิตมักจะเป็นเหตุเฉพาะเจาะจง อาทิ เงิน กามารมณ์หรือการอำพรางเหตุจากคดีอื่น ส่วนในการสังหารหมู่ แรงจูงใจของผู้ก่อเหตุมักมีที่มาแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการสังหารหมู่ในโรงเรียน (school shooting) การสังหารในที่ทำงาน การฆาตกรรมยกครัวหรืออาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง (hate crime) เนื่องจากความแตกต่างทางเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา รสนิยมหรืออัตลักษณ์ทางเพศและความพิการ โดยอาจมาจากความล้มเหลวเรื่องใดเรื่องหนึ่งในชีวิต หรือเป็นการแก้แค้นที่เกิดจากความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธทางสังคม


ดร.ดักลาส มอสแมน จิตแพทย์นิติเวชแห่งวิทยาลัยแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยซินซินนาติ เชื่อว่า ผู้ก่อเหตุสังหารหมู่อาจได้รับแรงกระตุ้นจากความเศร้าโศก ความโกรธ ความขุ่นเคือง ความรู้สึกว่าตนเองโดนหลอกใช้หรือถูกทารุณกรรม เช่นกรณีของนายโช ซุง ฮุย (Cho Seung-Hui) ฆาตกรในคดีสังหารหมู่ที่เวอร์จิเนีย เทค ที่มีประวัติเป็นโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยไม่สมัครใจประมาณ ๑๖ เดือน ก่อนก่อเหตุกราดยิงในปี ๒๕๕๐ และฆ่าคนไป ๓๒ รายก่อนจะฆ่าตัวตายตาม เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทราบแน่ชัดคือผู้ก่อเหตุสังหารหมู่และอาชญากรรมรุนแรงส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย ตามข้อมูลของสำนักสถิติยุติธรรม มีผู้หญิงที่ก่อการฆาตกรรมหมู่เพียงไม่กี่คน ดร.ดักลาส มอสแมน อธิบายเพิ่มเติมว่าผู้ชายมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูงกว่าผู้หญิงซึ่งทำให้มีความก้าวร้าวมากกว่า และผู้ชายมีแนวโน้มที่จะก่อการฆาตกรรมมากกว่าผู้หญิงถึง ๙ เท่า ผู้ก่อเหตุจึงมักเป็นผู้ชายที่รู้สึกโกรธเกรี้ยวว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสังคมจึงต้องการลงมือแก้แค้น ปัญหาคือมีผู้เข้าข่ายนี้จำนวนมหาศาล การพยายามทำนายว่าใครมีโอกาสเป็นฆาตกรจึงเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ในขณะที่ฆาตกรบางรายเคยพบจิตแพทย์มาก่อนและได้รับการวินิจฉัยว่าไม่มีอาการป่วยทางจิต กระทั่งไปลงมือก่อเหตุ


สอดคล้องกับงานวิจัยของสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกาในปี ๒๕๕๙ ที่รายงานสถิติการก่อเหตุฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนตลอดทั้งปี และพบว่ามีคนร้ายเป็นผู้ป่วยโรคจิตเวชไม่ถึงร้อยละ ๑ ส่วนงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่ในรายงานประจำปีด้านระบาดวิทยาของ American College of Epidemiology พบว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ป่วยทางจิตเพียงร้อยละ ๓-๕ เท่านั้นและมีผู้ก่อเหตุด้วยสาเหตุอื่นโดยไม่ได้ป่วยทางจิตอีกกว่าร้อยละ ๙๖  ดร. หลุยส์ ชเลซิงเกอร์ นักจิตวิทยานิติวิทยาศาสตร์แห่งวิทยาลัยบริหารงานยุติธรรมทางอาญาจอห์น เจย์ในนิวยอร์ก เชื่อว่าผู้ป่วยทางจิตอาจมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องฆ่าคนเสมอไป ด้าน ศ.เจฟฟรีย์ สวอนสัน แห่งภาควิชาจิตเวชศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยดุ๊ก ก็อธิบายว่าไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าอาการป่วยทางจิตเป็นสาเหตุในการก่อความรุนแรงเพราะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น การถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก การใช้ยาเสพติดหรือการติดสุรา เมื่อตัดปัจจัยรอบด้านอื่น ๆ ออกไปให้หมดแล้วพิจารณาเฉพาะผู้ที่มีอาการป่วยทางจิตอย่างเดียวจะพบว่าแทบจะไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงเลย ดังนั้น การด่วนสรุปว่าฆาตกรที่ก่อเหตุสังหารหมู่ทั้งหมดคือผู้มีอาการป่วยทางจิตอาจไม่ถูกต้องและก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เนื่องจากจะเป็นการซ้ำเติมและตีตราบาปให้กับผู้ป่วยทางจิตเวชที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่แล้ว​​​​​​​

จริงๆ แล้วมนุษย์มีสัญชาตญาณการใช้ความรุนแรงในการป้องกันตัวเอง ซึ่งเป็นกลไกของคำสั่งจากสมองที่ให้เฝ้าระวังอันตรายและพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยความรุนแรงเพื่อกำจัดอันตรายไม่ให้เข้ามาถึงตัว เช่นระเบิดความโกรธระหว่างรถติด หรือตอบโต้การดูถูกเหยียดหยามด้วยการทำร้ายร่างกาย สิ่งที่น่ากลัวก็คือจิตใต้สำนึกในการเอาตัวรอดที่จะกระตุ้นให้เราใช้ความรุนแรงในบางสถานการณ์โดยไม่รู้ตัว ศ.เดวิด บัสส์ (David Buss) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส-ออสติน สำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน ๕,๐๐๐ คน ปรากฏว่าผู้ชายร้อยละ ๙๑ และผู้หญิงร้อยละ ๘๔ เคยคิดถึงการฆ่าผู้อื่น โดยมักจะนึกถึงเหยื่อและจินตนาการถึงวิธีการฆ่าที่เฉพาะเจาะจง ดร.ดักลาส ฟิลด์ส (Douglas Fields) นักประสาทวิทยา กล่าวว่า ผู้ก่ออาชญากรรมหลายรายไม่เคยมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงมาก่อน ดังนั้น การตระหนักว่าสมองของเราทำงานอย่างไรและการเข้าใจที่มาของอารมณ์โกรธจะสามารถช่วยให้เราตอบสนองต่อภัยคุกคามอย่างเหมาะสมและไม่เกิดโศกนาฏกรรม นอกจากนี้ ความเครียดยังทำให้มนุษย์รู้สึกอ่อนไหวมากขึ้นต่อภัยคุกคามที่น่ากลัว และผลักดันให้มนุษย์กระทำสิ่งที่เลวร้ายได้เมื่อสถานการณ์บังคับ รวมไปถึงพัฒนาการของเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ยับยั้งและควบคุมกลไกการตรวจจับภัยคุกคามที่ส่งผลถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์โกรธ ดังนั้น วัยรุ่นที่สมองยังไม่พัฒนาเต็มที่ จึงไม่พร้อมที่จะควบคุมความโกรธ และควรได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวกระตุ้นทางร่างกายที่ตอบสนองต่อการรุกราน​​​​​​​

นอกจากนั้น ปัญหาความรุนแรงในสังคม ยาเสพติด ความกดดันทางวัฒนธรรม แนวทางของกฎหมาย และที่สำคัญคือการครอบครองอาวุธปืนโดยง่ายล้วนส่งผลต่อแรงกระตุ้นในการก่อเหตุสังหารหมู่ทั้งสิ้น และไม่ควรถูกมองข้ามในการวิเคราะห์เหตุจูงใจของผู้ก่อเหตุสังหารหมู่ แม้ว่าการวินิจฉัยอาการทางจิตของคนร้ายอาจทำได้ค่อนข้างยาก เพราะส่วนใหญ่มักจะเลือกจบชีวิตตัวเอง หรือถูกวิสามัญฆาตกรรมขณะก่อเหตุ แต่การมุ่งเน้นสาเหตุไปที่ความป่วยทางจิตเพียงอย่างเดียว นอกจากจะทำให้คนร้ายจำนวนมากลอยนวลแล้ว ก็ยังกลายเป็นการกระตุ้นให้สังคมตื่นกลัวหรือรังเกียจผู้ป่วยจิตเวชโดยไม่สมควรอีกด้วย