
การคิดบวกย่อมดีกว่าคิดลบแน่ แต่ต้องไม่ใช่การคิดบวกที่มาจากการ “หลอกตัวเอง” หรือปฏิเสธความจริง เพื่อจะมองข้ามปัญหา อุปสรรคและความยากลำบากต่าง ๆ โดยไม่แก้ไข และมีความเชื่อว่าต้องคิดบวกในทุกๆ สถานการณ์ บังคับตนเองและผู้อื่นให้มองเชิงบวกในเรื่องที่เลวร้าย จนปัญหาทับถมกลายเป็นการทำร้ายตนเอง หรือที่เรียกว่า ภาวะคิดบวกเป็นพิษ หรือ Toxic Positivity
พญ.เจมมี่ ซัคเคอร์แมน จิตแพทย์ทางคลินิกแห่งมหาวิทยาลัยเพนน์ซิลเวเนีย อธิบายว่า การฝืนคิดบวกในสถานการณ์ลบโดยรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ คือการหลอกตัวเองเพื่อเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายใจ แต่ยิ่งเลี่ยงก็ยิ่งแย่ การหลีกเลี่ยงหรือระงับความรู้สึกไม่สบายใจ มักทำให้เกิดความวิตกกังวลซึมเศร้า และทำให้สุขภาพจิตโดยรวมแย่ลง มีการศึกษาที่พบว่า หากมีคนขอให้คุณหยุดคิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณจะยิ่งคิดถึงเรื่องนั้นมากขึ้นและเครียดมากขึ้น และหากเราไม่สามารถจัดการกับความเครียดในเวลาที่เหมาะสม ก็อาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตอื่นๆ มากมาย เช่นอาการนอนไม่หลับ การใช้สารเสพติดและความเสี่ยงของอาการตอบสนองต่อความเครียดเฉียบพลัน หรือความเศร้าโศกเป็นเวลานาน รวมไปถึงสภาวะป่วยทางจิตใจหลังจากต้องเผชิญกับเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง (Post-Traumatic Stress Disorder) เนื่องจากในช่วงเวลาที่มีความเครียด สมองอาจไม่สามารถรับหรือสามารถจัดการกับการเรียนรู้ที่หนักหน่วงและทำภารกิจใหม่ได้เสมอไป
ภาวะคิดบวกเป็นพิษ หรือ Toxic Positivity สามารถส่งต่อไปถึงผู้อื่นได้ เช่นในวิกฤตการระบาดโรคโควิด-๑๙ อาจมีคนบอกเราว่า “คิดบวกไว้ก่อน” “ลำบากแค่นี้ก็ดีกว่าคนอื่นถมไป” หรือ “มันอาจจะแย่กว่านี้นะ” แต่เราฟังแล้วก็กลับไม่รู้สึกดีขึ้นเพราะปัญหาตรงหน้ายังอยู่ ต่อให้เป็นคนมองโลกในแง่ดีแค่ไหนก็คงไม่สามารถทำให้คิดบวกปลอมๆ แบบนั้นได้ การมีความรู้สึกโศกเศร้า ท้อแท้อับจนหนทางหรืออับอายไม่ใช่สิ่งที่ผิด เราไม่ควรรู้สึกผิดกับความรู้สึกในเชิงลบของตัวเอง เพราะความรู้สึกคือปฏิกิริยาตอบสนองเหตุการณ์ที่เราเผชิญอยู่ตามธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเคารพในความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ตำหนิหรือสั่งสอนให้ผู้อื่นลืมเรื่องร้าย ๆ แล้วหันมามองในแง่บวก หรือยกย่องคนที่คิดบวกตลอดเวลาว่าน่านับถือมากกว่าคนที่คิดลบ การรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเราเองจะสามารถช่วยบรรเทาความกดดันต่าง ๆ และช่วยปล่อยให้ความรู้สึกแย่ ๆ ออกไปโดยไม่ย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจของเราเอง

ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำคือต้องหันมายอมรับสถานการณ์แท้จริงและความรู้สึกที่เกิดขึ้น โดยขจัดความคาดหวังและไม่ฝืนคิดบวก ตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
ความทุกข์ต้องระบาย ผ่อนคลายพลังลบ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกดีหรือร้าย การหลีกเลี่ยงความรู้สึกของคุณจะยิ่งทำให้รู้สึกไม่สบายใจนานขึ้นเท่านั้น การพูดคุยหรือเขียนถึงความรู้สึกของคุณสามารถช่วยเยียวยาได้ การศึกษาเกี่ยวกับภาพสมองของมหาวิทยาลัย UCLA พบว่าการใส่ความรู้สึกลงในคำพูดจะลดความรุนแรงของอารมณ์ ทั้งความเศร้า ความโกรธและความเจ็บปวด
แย่นักก็ปล่อยไป พักใจให้หายดี หากคุณรู้สึกหนักใจและเหนื่อยล้า ควรปล่อยให้ตัวเองพักผ่อนได้แบบปราศจากความรู้สึกผิด
บวกหรือลบจำต้องประคอง เพราะเป็นของคู่กัน เช่น คุณอาจรู้สึกเศร้าที่ต้องตกงานในช่วงที่มีการระบาดใหญ่แต่คุณก็มีความหวังในการหางานใหม่ในอนาคต ความรู้สึกต่างขั้วนี้อาจเกิดขึ้นพร้อมกันได้
ทำในสิ่งที่รู้ เพื่อสู้กับความรู้สึกแย่ หาอะไรที่คุณคุ้นเคยทำเมื่อเกิดความทุกข์ทางอารมณ์ โดยเริ่มด้วยขั้นตอนเล็กๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ ให้และขยายความสนใจในสิ่งนั้นๆออกไป จนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น เช่น ถ้าคุณชอบเล่นโยคะ ให้ลองเล่นโยคะประเภทอื่นแทนการออกกำลังกายแบบใหม่ทั้งหมด
รู้ว่าหวังดี แต่ตอนนี้ขอปล่อยผ่าน เมื่อได้รับคำปลอบใจ หรือให้แง่คิดให้ “มองบวกเข้าไว้” คุณอาจจะอยากกรีดร้องในใจ เมื่อมันไม่ช่วยก็ไม่ต้องใส่ใจ อย่าไปรับฟังรับรู้พลังลบที่เคลือบด้วยคำพูดเชิงบวกเหล่านั้น
สิ่งที่เห็นโซเชียลอาจไม่เรียลในชีวิตจริง ในภาวะวิกฤต การเห็นโพสต์ของผู้อื่นที่มีชีวิตสมบูรณ์มี ความสุขสนุกสนานอาจทำให้เรารู้สึกแย่ โดดเดี่ยวและละอายหรือด้อยค่า เพราะคิดว่าคนอื่นสามารถรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ดีกว่า จริง ๆ แล้ว วิธีการป้องกันตัวเองจากภัยพลังบวกเหล่านี้ก็คือต้องเสพสื่ออย่างมีวิจารณญาณ งดเปรียบเทียบสถานการณ์ของตนเองกับผู้อื่นเพราะสิ่งที่คุณเห็นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาทั้งหมด
อ้างอิง
https://www.healthline.com/health/mental-health/toxic-positivity-during-the-pandemic
https://www.verywellmind.com/what-is-toxic-positivity-5093958