
ก่อนโควิด-๑๙ ครองโลก การทำงานแบบไม่ต้องเข้าออฟฟิศเคยเป็นงานในฝันของใครหลายคน เมื่อความฝันกลายเป็นจริง การทำงานที่บ้านกลับกลายเป็นความเครียด ท่ามกลางฝันร้ายของการแพร่ระบาดลุกลามของไวรัสโคโรน่าในสังคม
การสำรวจของสหประชาชาติในหลายประเทศพบว่า ร้อยละ ๔๑ ของพนักงานที่ทำงานนอกออฟฟิศมีความเครียดสูง ในขณะที่พนักงานที่ต้องเข้าทำงานในออฟฟิศกลับมีความเครียดเพียงร้อยละ ๒๕ โดยสังเกตได้จากการทำงานที่มีข้อผิดพลาดมากขึ้นหรือผิดในเรื่องไม่ควรผิด การมีสมาธิและความสามารถในการแก้ปัญหาลดลง การแสดงออกหรือนิสัยเปลี่ยนไปโดยดูจากคำที่ใช้ในอีเมลหรือน้ำเสียงและท่าทางระหว่างการประชุมออนไลน์ การแสดงออกแง่ลบและใช้อารมณ์มากขึ้น หากจำเป็นต้องทำงานอยู่กับบ้าน เราควรจะทำอย่างไรไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อความเครียด
๑. จัดตารางและแบ่งหน้าที่
การทำงานจากที่บ้าน ต้องพยายามทำงานตามเวลาปฏิบัติงานปกติ โดยเฉพาะครอบครัวที่ลูกต้องเรียนหนังสือออนไลน์ที่บ้าน ควรแบ่งหน้าที่ในการทำงานบ้านและภารกิจอื่นๆให้ดี ใช้เทคโนโลยีเพื่อแบ่งเบาภาระ เช่น ชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือสั่งอาหารมาทานที่บ้านผ่านแอปพลิเคชัน การทำงานหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันคือความท้าทายที่ต้องอาศัยศิลปะการจัดการ
๒. ให้เวลาส่วนตัวกับตัวเองบ้าง
การทำงานจากบ้านอาจทำให้ลืมเวลาพัก ลืมเวลาเลิกงานจนกลายเป็นไม่มีเวลาของตัวเอง รวมถึงเจ้านายอาจสั่งงานนอกเวลาทำงาน ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม เพื่อลดความขัดแย้งนี้ ทุกวันเมื่อถึงเวลาเลิกงาน ควรรายงานความคืบหน้าของงานที่ได้รับมอบหมาย และแจ้งผู้บังคับบัญชาให้ทราบถึงการเตรียมการปฏิบัติงานของวันรุ่งขึ้น
๓. ลดการท่องอินเทอร์เน็ต
การศึกษาของยูเอ็นพบว่า การกักตัวอยู่ที่บ้านอาจทำให้รู้สึกว้าเหว่ได้ หลายคนจึงใช้เวลาบนโลกออนไลน์เพิ่มขึ้น การใช้สื่อโซเชียลมากเกินไปทำให้คุณเครียดได้เช่นกัน ต้องรู้จักใช้อย่างพอดีและเหมาะสม ทั้งการติดต่อกับผู้อื่นและการรับรู้ข่าวสารต่างๆ มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าคุณปลอดภัยจากโควิด แล้วแพ้พิษสื่อโซเชียลแทน
